หุ้นกลุ่ม 'ขายมือถือ' พุ่งยกแผง - กรุงเทพธุรกิจ

nananatech.blogspot.com

22 สิงหาคม 2563

1,620

หุ้นอุปกรณ์มือถือ พุ่งรับข่าว “แบงก์ชาติ” สั่งห้ามใช้โทรศัพท์รุ่นเก่า-เจลเบรก เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ “ซินเน็ค” ราคาพุ่ง 2 วันซ้อนกว่า 17% “นักวิเคราะห์” ประเมินแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังดีต่อเนื่อง แต่เตือนราคารับความคาดหวังไปมากแล้ว

จากกรณี ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ออกประกาศเรื่องแนวนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการให้บริการทางการเงินและชำระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Guiding Principles for mobile banking security) โดยแนวนโยบายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 31ธ.ค.2563 เป็นต้นไป

โดยสรุปเป็นประกาศเกี่ยวกับมาตรฐานควบคุมรักษาความมั่นคงปลอดภัย 2 ระดับ คือมาตรฐานขั้นต่ำ เช่น ไม่อนุญาตให้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่เปิดสิทธิให้เข้าถึงระบบปฏิบัติการ (rooted/jailbroken) เข้าใช้งานแอพพลิเคชั่น, ไม่อนุญาตให้อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการล้าสมัย, ไม่อนุญาตให้ผู้ใช้บริการใช้แอพพลิเคชั่นเวอร์ชั่นต่ำกว่าผู้ให้บริการกำหนด ส่วนมาตรการเพิ่มเติม เช่น ให้มีการกำหนด ตั้งค่า PIN หรือรหัสผ่านที่ซับซ้อน ในการเข้าใช้งานบนแอพพลิเคชั่นเพื่อให้ยากต่อการคาดเดา ฯลฯ

ทั้งนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือ อาทิ บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNEX บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส หรือ HANA บมจ.เจ มาร์ท หรือ JMART และบมจ.คอมเซเว่น หรือ COM7 ต่างปรับตัวขึ้นในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา โดย SYNEX เพิ่มขึ้น 17.4% HANA เพิ่มขึ้น 10.2% JMART เพิ่มขึ้น 9.9% COM7 เพิ่มขึ้น 3.8%

นายศุภชัย วัฒนวิเทศกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มนี้ได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าวของธปท. ทำให้นักลงทุนบางส่วนเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มนี้ ประกอบกับทิศทางของบริษัทเหล่านี้ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่จะเติบโตดีต่อเนื่อง

“การเปิดตัว 5G ในช่วงครึ่งปีหลังของแต่ละค่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ทำให้เกิดการคาดเดาว่าจะเป็นรอบของการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือรอบใหม่ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาปัจจัยหนุนเฉพาะตัวของแต่ละบริษัท อย่าง COM7 ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายของ Apple ในประเทศ ถูกคาดหวังว่าจะโดดเด่นเหมือนกับหุ้น Apple ที่ทำนิวไฮ และน่าจะประสบความสำเร็จจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในระยะยาว”

ขณะที่หุ้นอย่าง JMART ได้แรงหนุนจากการที่บริษัทย่อยแต่ละบริษัท รายงานผลประกอบการที่ค่อนข้างดีในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ส่วนหุ้น SYNEX ผู้บริหารคาดว่าแนวโน้มของธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังจะทำได้ดีต่อเนื่อง

“เดิมทีนักลงทุนกังวลว่าหุ้นเหล่านี้อาจจะทำได้ดีแค่ในช่วงของการเวิร์คฟรอมโฮม ทำให้ราคาหุ้นปรับฐานลงมาเล็กน้อยก่อนหน้านี้ แต่เมื่อดูจากทิศทางของธุรกิจแล้ว น่าจะยังทำได้ดีต่อเนื่อง”

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเชิงโมเมนตัม เชื่อว่ายังคงสามารถเก็งกำไรได้ โดยน่าจะมีอัพไซด์อีกราว 10% สำหรับหุ้นแต่ละตัว อย่างไรก็ตามต้องยอมรับราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมารับกับความคาดหวังไปมากพอสมควร หากผลประกอบการหรือทิศทางของธุรกิจไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง ก็มีโอกาสที่จะถูกขายออกมาได้ง่าย ซึ่งนักลงทุนควรจะระมัดระวังสำหรับการเข้าไปเก็งกำไรมากขึ้น

ด้าน นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า หุ้นในกลุ่มนี้ถือว่าได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากนโยบายดังกล่าวของธปท. ช่วยหนุนให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่โดยส่วนตัวมองว่าอานิสงส์จากประเด็นดังกล่าวอาจจะไม่ได้มีน้ำหนักมากนัก เพราะหากพิจารณาจากฐานบัญชีของอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง และโมบาย แบงกิ้ง ในปัจจุบันอยู่ที่ราว 61 ล้านบัญชี ขณะที่จำนวนของซิมการ์ดอยู่ที่ราว 100 ล้านซิม ทำให้โอกาสของการเติบโตหลังจากนี้อาจจะไม่สูงนัก

ในปัจจุบันกลุ่มคนที่ใช้อินเทอร์เน็ต แบงก์กิง หรือโมบาย แบงก์กิง เป็นกลุ่มที่โทรศัพท์รุ่นใหม่ซึ่งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่ยังใช้โทรศัพท์รุ่นเก่า และต้องการเปลี่ยนมาใช้บริการธนาคารออนไลน์เหล่านี้ก็อาจจะไม่ได้มีมากนัก ฉะนั้นแล้วปัจจัยดังกล่าวอาจจะช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มนี้ได้บ้างในระยะสั้น

“จริงๆ แล้วระบบหรือบริการต่างๆ ของธนาคารในปัจจุบัน ก็ช่วยรองรับระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นเก่าอยู่ในระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะมีการแจ้งต่อผู้ใช้บริการว่าจะรองรับภายใต้ระบบปฏิบัติการที่เวอร์ชั่นนึงเป็นอย่างน้อย ฉะนั้นแล้ว นโยบายที่ออกมาของธปท. เป็นเหมือนการพูดให้ชัดเจนว่าหลังจากนี้จะมีการกำหนดแนวทางในเรื่องเหล่านี้”